Tuesday, July 14, 2009

ก่อน ไม่มีแม่ให้กอด

ก่อน ไม่มีแม่ให้กอด....เรื่องจริง จากโรงเรียน อัสสัมชัญ


เรื่องนี้ต้องยกความดีความชอบให้กับ...มิสอุไรพร

ครูที่มีจิตวิทยาสูงในการสอนเด็ก



รักใดไหนเล่าเท่ารักแม่...วีรกรรมสุดยิ่งใหญ่ของแม่ท ี่ลูกทุกคนต้องอ่าน!



ตึกเซนต์หลุยส์มารี โรงเรียนอัสสัมชัญ แผนกประถม ราวกลางปี



พ.ศ.2539



'มิสคะ

ช่วงพักเที่ยงจะมีผู้ปกครองมารอพบสองท่านที่หน้าห้อง รับรองค่ะ'



โทรศัพท์แจ้งจากห้องประชาสัมพันธ์ทำให้มิสอุไรพร นาคะเสถียร

ครูสาวประจำระดับชั้นป.4 รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย

เพราะจำได้ว่ามีการโทรนัดหมายจะมาพบจากคุณแม่ท่านหนึ ่งเพียงท่านเดียวในวันนี้



เอ...ใครล่ะนี่ จะมีเรื่องอะไรรึเปล่านะ



เมื่อมิสอุไรพรเดินมาถึงหน้าห้องประชาสัมพันธ์

ครูสาวก็แทบยกมือรับไหว้จากสุภาพสตรีทั้งสองท่านไม่ท ัน

หากก็รู้สึกแปลกใจที่เห็นคุณแม่ท่านหนึ่งยกมือไหว้แต ่เพียงแขนข้างเดียว

อย่างไรก็ตามมิสได้เชิญคุณแม่ท่านแรก

เข้าไปคุยก่อนตามลำดับการนัดโดยเก็บงำความแปลกใจไว้

หลังจากคุยกับคุณแม่ท่านแรกเสร็จมิสจึงเชิญคุณแม่อีก ท่านเข้ามาคุยในห้องรับรอง



ภาพแรกที่ได้เห็นชัดๆทำให้ครูสาวตกใจเล็กน้อย



แขนซ้ายของคุณแม่เป็นแขนเทียม คุณแม่มาปรึกษาเรื่อง การเรียนของลูก

เพราะไม่ได้มาในวันนัดพบผู้ปกครองประจำปีเมื่อต้นปีก ารศึกษาที่ผ่านมา



'ลูกเขาไม่อยากให้มา เขาว่าเขาอายที่แม่ใส่แขนเทียม

กลัวโดนเพื่อนล้อแม่มาทีเพื่อนก็ล้อกันประจำว่าแม่แข นเดียว

แม่เป็นหุ่นยนต์เหรอ อะไรนี่น่ะค่ะ เลยไม่ได้มา'



น้ำเสียงของคุณแม่แฝงแววเอ็นดูมากกว่าที่จะโกรธหรือไ ม่พอใจ



มิสอุไรพรขออนุญาตซักถามเกี่ยวกับสาเหตุที่คุณแม่ต้อ งใส่แขนเทียม

เมื่อได้ทราบความจริงทั้งห มดครูสาวก็ตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะต้องจัดการ

เรื่องที่ลูกไม่ยอมรับและไม่เข้าใจแม่นี้โดยเร็ว

หากปล่อยเรื่องนี้ไป...ก็จะเป็นบาปอันหนักยิ่งติดตัว เด็กไปในภายหน้า

ทั้งตัวลูกชายและคนที่ล้อเพื่อนด้วย



ช่วงเย็นวันนั้นมีชั่วโมงลูกเสือแต่ฝนตกหนัก

มิสอุไรพรจึงได้โอกาสนำเรื่องนี้มาเล่าให้นักเรียนฟั งในห้องเรียน



เรื่องราวที่ว่านั้น มีดังต่อไปนี้



วันที่ 21 สิงหาคม

พ.ศ.2536หลังวันแม่เพียงไม่กี่วัน...

ครอบครัวหนึ่งได้เดินทางไปเที่ยวนากุ้งที่จังหวัดสตู ล

ครอบครัวนี้ประกอบด้วยคุณพ่อ คุณแม่

และลูกชายอีกสามคนพวกเขาเดินชมนากุ้งไปตามทางเดินซึ่ งเป็นคันดิน

ท่ามกลางบรรยากาศสดชื่นของธรรมชาติ



โดยคุณพ่อเดินนำหน้ากับลูกชายคนโตสองคน

ส่วนคุณแม่เดินตามหลังมากับลูกชายคนเล็ก



ทางเดินที่เป็นคันดินนั้นมีการแบ่งเป็นท้องร่องเพื่อ ติดตั้งระหัดวิดน้ำ

ซึ่งมีใบพัดทำจากเหล็กสูงจากคันดินราว 25ซม

คุณพ่อและลูกคนโตสองคนก็ข้ามท้องร่องแล้วเดินนำต่อไป ข้างหน้า

ไม่มีใครฉุกใจคิดระวังถึงเหตุร้าย



แต่แล้วลูกชายคนเล็กกลับก้าวพลาดล้มลงไปในท้องร่อง

ขากางเกงเข้าไปติดกับร่องของระหัดวิดน้ำที่กำลังหมุน อยู่

และฉุดขาของลูกทั้งสองข้างเข้าไปในใบพัดเหล็ก



'ถ้าเป็นพวกคุณ



น้องตกลงไปอย่างนี้คุณจะทำอย่างไร'



มิสหยุดเรื่องไว้ก่อนเพื่อซักถาม มองหน้าเด็กนักเรียน

ทั้งห้องที่นั่งเงียบกริบ หน้าซีด โดยเฉพาะลูกชายของคุณแม่ท่านนั้น



'ทุกคนตกตะลึงใช่มั้ย คิดไม่ทันใช่มั้ย

แต่นักเรียนรู้มั้ยว่าคุณแม่ท่านตัดสินใจทำอย่างไร'



คุณแม่ไม่ยอม เสียเวลาคิดอะไรเลย



ท่านรีบยึดดึงตัวลูกเอาไว้แล้วเอาแขนซ้ายที่ว่างอยู่ เข้าไปขวางใบพัดเหล็กไว้ก่อน...



ใบพัดจึงหมุนเอาแขนของคุณแม่เข้าไป...คนงานที่เห็นเห ตุการณ์รีบปิดเครื่องทันที



แต่แรงเฉื่อยทำให้ใบพัดยังหมุนต่อด้วยกำลังแรง...

แรงจนกระชากแขนซ้ายของคุณแม ่ขาดสะบั้นลง!

คุณแม่กรีดร้องด้วยความเจ็บปวดทรมานแสนสาหัสสติสัมปช ัญญะดับวูบลงในทันที



ท้องร่องทั่วบริเวณแดงฉานไปด้วยเลือด...เลือดของแม่. ..



ใบพัดเหล็กยังหมุนต่อไปอีกเล็กน้อยและบดเอาขาทั้งสอง ข้างของลูกชายคนเล็ก



จนกระดูกหัก...แต่ไม่ขาด

ไม่ขาด...เพราะแขนซ้ายของแม่ขาดแทน...ไม่ขาด...เพราะ แม้จะไร้ซึ่งสติสัม ปชัญญะ



มือขวาของคุณแม่ก็ยังยึดตัวลูกเอาไว้แน่น...ไม่ยอมปล ่อย...



คุณพ่อและลูกคนโตทั้งสองคนหันกลับมามองตามเสียงตะโกน เอะอะโวยวายของคนงาน



พร้อมๆกับเสียงกรีดร้องของคุณแม่

ภาพที่เห็นทำให้พวกเขาช็อกจนแทบสิ้นสติ!



คุณพ่อกระโจนพรวดเดียวถึงตัวคุณแม่และลูกน้อย แต่...มันสายเกินไปแล้ว!



สิ่งเดียวที่ทำได้คือรีบพาสองแม่ลูกส่งโรงพยาบาลทันท ี

ผลของการรักษาคือคุณแม่ต้องใส่แขนเทียมแทนแขนซ้ายที่ ขาดไป

ส่วนลูกคนเล็กที่ขาหักต้องอยู่โรงพยาบาลนานราวสามเดื อนจึงสามารถเดินเหินได้เป็นปกติ



มิสอุไรพรกวาดสายตามองไปรอบๆห้องถามขึ้นอีกว่า

'นักเรียนคิดว่าคุณแม่ท่านนี้กล้าหาญมั้ยคะ'



'กล้าหาญมาก'

เด็กๆพากันตอบเป็นเสียงเดียวกันพลางพยักหน้า



หลายๆคนยังหน้าซีดเซียวเมื่อนึกภาพเหตุการณ์ไปตามที่ ครูเล่า

มิสมองหน้าลูกชายของคุณแม่แล้วบอกต่อว่า

'นักเรียนทราบมั้ยว่าคุณแม่ท่านนี้เป็นคุณแม่ของเพื่ อนเราในห้องนี้เอง

ไหนใครเป็นลูกของคุณแม่ท่านนี้ยืนขึ้นให้เพื่อนเห็นห น่อยสิ'



เด็กนักเรียนคนนั้นยืนขึ้น ท่ามกลางเสียงปรบมือของเพื่อนทั้งห้อง



'วันนี้เมื่อคุณกลับไปบ้านมิสฝากเรียนคุณแม่ด้วยว่าพ วกเราชื่นชม

และยกย่องท่านมากจริงมั้ยพวกเรา'



'จริงครับๆ ใช่ครับๆ'

เสียงเล็กๆตอบมาเป็นทางเดียวกัน



'มิสได้ทราบมาว่ามีหลายๆคนไปล้อเลียนเพื่อน ไหน

คนไหนบ้างคะที่เคยล้อคุณแม่เขา ถ้ามีเราเป็นลูกผู้ชายต้องกล้ารับค่ะ'



มีนักเรียน 3-4 คนยืนขึ้น สีหน้าของแต่ละคนซีดเซียวอย่างสำนึกผิด



มิสอุไรพรมองหน้าของเด็กกลุ่มนี้อย่างอ่อนโยน ถามว่า

'ดีมากนักเรียน ตอนนี้คุณคงอยากพูดอะไรกับเพื่อนใช่มั้ยคะ'



เด็กชายกลุ่มนั้นเดินเข้าไปโอบกอดคอแล้ว กล่าวขอโทษเพื่อนด้วยความจริงใจ



ครูสาวน้ำตาคลอ

ยืนมองภาพนั้นด้วยความปลาบปลื้มยินดีหนักใจอยู่เหมือ นกันว่า



หากถามขึ้นมาแล้วไม่มีใครยอมรับว่าเคยล้อเพื่อน...จะ ทำอย่างไร?

เธอไม่เคยผิดหวังในตัวนักเรียนอัสสัมชัญและจนถึงเวลา นี้ก็ยังคงไม่ผิดหวัง



ใครเล่า...จะเข้าใจความเจ็บช้ำขมขื่นในหัวใจเล็กๆของ เด็กชายคนหนึ่ง

ที่ถูกเพื่อนล้อเลียนประสาเด็กโดยไม่ทันคิด



หากบัดนี้...ความรักของแม่และน้ำใจของเพื่อนได้สลายป มด้อยในใจ

ของเด็กคนนี้ลงจนสิ้นแล้ว

เหลือเ พียงความรักและภาคภูมิใจในตัวคุณแม่เท่านั้น



เมื่อหมดชั่วโมงเรียน มิสอุไรพรได้เรียกตัวลูกชายเข้าไปคุยอีกครั้ง

'วันนี้เรามีอะไรในใจที่คิดว่าควรพูดกับคุณแม่มั้ยคะ '



เด็กคนนั้นนิ่งคิดไปชั่วครู่ก่อนจะตอบเสียงสั่นปนสะอ ื้นไห้ว่า

'ผม...ผมจะไปขอโทษคุณแม่แล้ว...แล้วบอกคุณแม่ว่าผมรั กคุณแม่ที่สุดในโลกเลยครับ'



รู้มั้ยน้ำนมหยดหนึ่งซึ่งไหลมาต้องใช้น้ำตาหยาดเหงื่ อสักเท่าไหร่

บอกแม่เถอะนะ บอกทุกวัน ว่ารักท่านมากมาย

กอดแม่เถอะนะ ให้คุ้นเคย



กอดเลยไม่ต้องอาย

ก่อนไม่มีแม่ให้กอด...

Monday, July 06, 2009

Don't wanna try

"Don't Wanna Try"
frankie j

(oooo)...don't wanna try don't wanna try (try try)
(oooo)..don't wanna try no more
(ooo)..don't wanna try don't wanna try don't wanna try

[Verse 1]
i can't believe u had the nerve to say the things u said
they hurt so bad that they ended our relationship
i can't believe it ..4 years gone down the drain
oh how i wish things would of happened so differently
i try'd to save it so many times but you still couldn't see
u kept insistin' and resistin' that u would not fall again
and now ur tryin' to tell me that ur sorry
and ur tryin' to come back home
ur tellin' me u really need me crying beggin both knees are on the floor
but baby i

[Chorus]
don't wanna try don't wanna try don't wanna try no more
u keep insisting when u know our love is out the door
don't wanna try don't wanna try cuz all we do is fight and say the things
that hurt so bad to where we both begin to cry
don't wanna try don't wanna try i 'bout just had enough its been a rough road
baby just let it go
don't wanna try don't wanna try don't wanna try no more
tell me whats the use of holdin' on when all we do is hurt our love

[Verse 2]
u and i had many conversations on the telephone
talks about one day we having a place of our own
wake up in the morning and have breakfast ready on the table
but all of that just seems so far away from me
had to wake up face reality
it all just seem to good to be true after all you put me through
and now ur tryin' to tell me that ur sorry
and ur tryin' to come back home
u tellin' me that u really need me crying beggin both knees are on the floor
but baby i

[Chorus]
don't wanna try dont wanna try dont wanna try no more
u keep insisting when u know our love is out the door
don't wanna try dont wanna try cuz all we do is fight and say the things
that hurt so bad to where we both begin to cry
dont wanna try don't wanna try i bout just had enough its been a rough road
baby just let it go
don't wanna try don't wanna try don't wanna try no more
tell me whats the use of holdin' on when all we do is hurt our love

[..fading into beat]
(don't wanna try don't wanna try)
(don't wanna try no more)
(don't wanna try don't wanna try..oo)

(don't wanna try don't wanna try)
(don't wanna try no more)
(don't wanna try dont wanna try don't wanna try no more ooo)

Friday, July 03, 2009

เคล็ดลับ 12 ข้อ

เคล็ดลับ 12 ข้อ

1. หวีผมบ่อยๆ:
หวีผมเบาๆ บ่อยหน่อยช่วยให้ตาสว่าง และรากผมแข็งแรง (ใช้หวีซี่ห่างหน่อย แปรงเบาหน่อย เพื่อกันผมหลุด)
2. ถูใบหน้าบ่อยๆ:
ล้างมือด้วยสบู่ หรือเจลแอลกอฮอล์ให้สะอาดก่อน หลังจากนั้นใช้ฝ่ามือ 2 ข้างถู หน้าเบาๆ บ่อยหน่อยเพื่อกระตุ้นให้เลือดไหลเวียนดีขึ้น ใบหน้าเปล่งปลั่ง
3. เคลื่อนไหวดวงตาบ่อยๆ:
ให้ มองไกล-มองใกล้ มองข้างนอก-ข้างใน มองบน-มองล่าง หลีกเลี่ยงการมอง หรือจ้อง อะไรนานๆ โดยเฉพาะคนที่ทำงานคอมพิวเตอร์ควรพักสายตาด้วยการมองไกลอย่างน้อยทุกชั่วโมง
4. กระตุ้นใบหูบ่อยๆ:
การ ดึงหู ดีดหู บีบหู ถูใบหูเบาๆ บ่อยหน่อย ช่วยบำรุงตานเถียน(จุดฝังเข็ม) ซึ่งเป็นตำแหน่งที่เก็บพลังงานของร่างกาย (ใต้สะดือ) สัมพันธ์กับไต ซึ่งเปิดทวารที่หู ทำให้แรงดี ป้องกันเสียงดังในหู หูตึง และอาการเวียนหัว
5. ขบฟันบ่อยๆ:
ขบฟันเบาๆ บ่อยหน่อย(ไม่ใช่ขบแรงดังกรอดๆ) ช่วยให้ฟันแข็งแรง และกระตุ้นการหลั่งน้ำย่อย
6. ใช้ลิ้นดุนเพดานปากบ่อยๆ:
การ ใช้ปลายลิ้น กระตุ้นเพดานบนด้านหน้าเป็นการกระตุ้นจุดฝังเข็ม เพื่อเชื่อมพลัง ลมปราณตู๋และเยิ่น ซึ่งเป็นเส้นควบคุมแนวกลางลำตัวส่วนหลัง และส่วนหน้าร่างกาย ทำให้เกิดการกระตุ้นการหลั่งสารน้ำ และน้ำลาย
7. กลืนน้ำลายบ่อยๆ:
การกลืนน้ำลายบ่อยๆ ช่วยกระตุ้นพลังบริเวณคอหอย และกระตุ้นการย่อยอาหาร
8. หมั่นขับของเสีย:
หมั่น ขับของเสีย โดยเฉพาะดื่มน้ำให้พอ กินอาหารที่มีเส้นใย ออกกำลัง เพื่อ ป้องกันท้องผูก เมื่อปวดปัสสาวะหรืออุจจาระให้ถ่ายทันที อย่ารอโดยไม่จำเป็น การทิ้งของเสียไว้ในร่างกายนานเกินทำให้เกิดสารพิษ และการดูดซึมสารพิษ ( กลับเข้าสู่ร่างกาย) มากขึ้น ทำให้ป่วยง่าย
9. ถูหรือนวดท้องบ่อยๆ:
ให้นวดท้องตามเข็มนาฬิกาเบาๆ เพื่อช่วยให้การขับถ่ายของเสียดีขึ้น
10. ขมิบก้นบ่อยๆ:
การขมิบก้นบ่อยๆ ช่วยป้องกันริดสีดวงทวาร และท้องผูก
11. เคลื่อนไหวทุกข้อ:
การ อยู่นิ่งๆ หรืออยู่ในท่าใดท่าหนึ่งนานเกินไป ทำให้เกิดโรคได้ง่าย ควรเคลื่อน ไหวข้อต่างๆ ให้ครบทุกข้อทุกวัน ฝึกฝนการใช้กล้ามเนื้อและข้อให้สมดุล เช่น การฝึกชี่กง ไท ้เก้ก โยคะ ฯลฯ
12. ถูผิวหนังบ่อยๆ:
ใช้ฝ่ามือถูตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย คล้ายกับการถูตัวเวลาอาบน้ำ มีส่วนช่วยให้ เลือดและพลังไหลเวียนดี
เรียนเชิญท่านผู้อ่านลองนำไปปฏิบัติดู เพื่อสุขภาพ พลัง และลมปราณที่ดีไป นานๆ ครับ...

ท่าน อาจารย์นายแพทย์ภาสกิจ(วิทวัส) วัณนาวิบูล อาจารย์แพทย์ผู้เชี่ยวชาญแพทย์ แผนจีนแนะนำเคล็ดลับการดูแลสุขภาพ ตามศาสตร์แพทย์แผนจีนว่า อาหาร 10 อย่างที่ไม่ควรกินมากเกิน นำแนวคิดศาสตร์แพทย์แผนจีนมาวิเคราะห์โดย ใช้หลักแพทย์แผนปัจจุบันประกอบ...


อาหารที่ไม่ควรกินมากเกิน หรือบ่อยเกินได้แก่...

1. ไข่เยี่ยวม้า:
ไข่ เยี่ยวม้ามีตะกั่วค่อนข้างสูง ตะกั่วทำให้การดูดซึมแคลเซียมน้อยลงกินบ่อยๆ จะเสี่ยงโรคกระดูกโปร่งบาง และอาจได้รับพิษตะกั่วเช่น สมองเสื่อม เป็นหมัน ฯลฯ
2. ปาท่องโก๋:
กระบวนการทำปาท่องโก๋มีการใช้สารส้ม ซึ่งมีตะกั่วปน เปื้อน ตะกั่วทำให้ไตทำงานหนักในการขับสารนี้ออกไป นอกจากนั้นยังทำให้คอแห้ง เจ็บคอง่าย โดยเฉพาะคนที่เป็นโรคร้อนในได้ง่าย
3. เนื้อย่าง:
กระบวนการรมไฟ ย่างไฟทำให้เกิดสารเบนโซไพรีน ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็ง
4. ผักดอง:
ผักดอง และของหมักเกลือทำให้ร่างกายได้รับเกลือโซเดียมสูง ถ้ากินบ่อยเกิน หรือมากเกินจะทำให้หัวใจทำงานหนัก เกิดความดันเลือดสูงและโรคหัวใจได้ง่าย นอกจากนั้นกระบวนการหมักดองยังทำให้เกิดสารแอมโมเนียมไนไตรด์ ซึ่งเป็นสาร ก่อมะเร็ง
5. ตับหมู:
ตับ หมูมีโคเลสเตอรอลสูง การกินตับหมูบ่อยเกิน หรือมากเกินทำให้เสี่ยงต่อโรคหัวใจ เส้นเลือดสมอง (อัมพฤกษ์-อัมพาต) และโรคมะเร็งเพิ่มขึ้น
6. ผักขม ปวยเล้ง:
ผัก ขมและปวยเล้งมีสารอาหารสูง ทว่า... มีกรดออกซาเลตมาก ทำให้เกิดการขับสังกะสีและแคลเซียมออกจากร่างกายมาก การกินบ่อยเกิน หรือมากเกินอาจทำให้เกิดภาวะขาดแคลเซียม หรือสังกะสีได้
7. บะหมี่สำเร็จรูป:
บะหมี่ สำเร็จรูปมีสารกัดบูด สารแต่งรสค่อนข้างสูง และมีคุณค่าทางอาหารต่ำ การกินบะหมี่สำเร็จรูปมากเกิน หรือบ่อยเกินอาจทำให้เสี่ยงต่อโรคขาดอาหารและการสะสมสารพิษได้